วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกการเข้าเรียน

บันทึกครั้งที่3
วันอังคาร ที่ 19 พฤศจิกายน 2556
 
    เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หมายถึง เด็กที่มีลำตัว แขน หรือขาผิดปกติทำให้เด็กไม่อาจเรียนในสภาพแวดล้อมกับเด็กปกติได้ จึงมีความจำเป็นต้องจัดสภาพแวดล้อมใหม่ให้สอดคล้องกับความสามารถและความต้องการของเด็กประเภทนี้ ซึ่งอาจรวมไปถึงเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังที่ต้องการเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเป็นเวลานานติดต่อกัน

ลักษณะเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย

1. ความบกพร่องที่เกิดจากกล้ามเนื้อและกระดูก
Cerebral Palsy อัมพาตทางสมอง (เรียกชื่อย่อว่า ซี พี) โรคนี้จะไม่ทำให้ร่างกายมีสภาพเสื่อมลง แต่กล้ามเนื้ออาจเสื่อมลงได้หากไม่ได้รับการพัฒนาทันเวลา อัมพาตทางสมองมักเกิดกับทารกระหว่างคลอด เช่นการคลอดก่อนกำหนดขาดออกซิเจนระหว่างคลอด เด็กประเภทนี้มีปัญหาในการเคลื่อนไหวแตกต่างกัน หากจำแนกโดยลักษณะการเคลื่อนไหว
สามารถจำแนกได้ 4 ประเภท คือ
1. Spasticity กล้ามเนื้อจะเกร็งแน่น ไม่สามารถหดได้เหมือนกล้ามเนื้อปกติ จึงมีลักษณะแข็งทื่อ
2. Athelosis กล้ามเนื้อจะยืดหดอย่างไม่เป็นระบบระเบียบทำให้ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ หากเด็กมีความเก็บกดทาง
อารมณ์ หรือเมื่อเวลาตื่นเต้นกล้ามเนื้อจะยิ่งผิดปกติมากขึ้น
3. Ataxia กล้ามเนื้อไม่ประสานกัน ทำให้เด็กควบคุมความสมดุลไม่ได้ ทำให้โซเซและหกล้มได้ง่าย
4. Mixed เป็นการผสมผสานลักษณะทั้ง 3 อย่างที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นเด็กคนเดียวอาจมีลักษณะทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว

Muxcular Dystrophy กล้ามเนื้ออ่อนแรง ที่พบได้บ่อยเรียกชื่อว่า Dechenne ซึ่งปรากฏให้เห็นชัดเมื่อเด็กอายุประมาณ 3 ขวบ กล้ามเนื้อที่ติดอยู่กับกระดูกจะอ่อนแอ สังเกตได้จากการเคลื่อนไหวของเด็ก เด็กไม่มีกำลังพอที่จะวิ่งได้ มีปัญหาในการปีนป่ายบันได เด็กที่เป็นโรคนี้จะเหนื่อยง่าย เด็กที่สามารถเดินได้อาจต้องใช้รถเข็น หากต้องเดินในระยะไกลขึ้น เด็กประเภทนี้หกล้มง่ายเด็กต้องการได้รับการบำบัดรักษา เพื่อถ่วงเวลาการหดตัวของกล้ามเนื้อ เด็กอาจเสียชีวิตในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย เด็กประเภทนี้อาจมีปัญญาอ่อนร่วมด้วย

Spina Bifida ความผิดปกติของกระดูกไขสันหลัง ซึ่งทำให้เส้นประสาทสำคัญถูกทำลายไปบางส่วน จึงทำให้เส้นประสาททำงานผิดปกติไปด้วย ผลที่ตามมาอาจมีหลายลักษณะที่พบบ่อย ๆ ได้แก่ ความผิดปกติของท่อปัสสาวะ ความผิดปกติของใบหน้าและลำตัว เด็กประเภทนี้ต้องได้รับการรักษาเยียวยาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอต้องได้รับ การกายภาพบำบัด เพื่อให้ทรงตัวได้จะต้องใช้ไม้ค้ำยัน และสายรัดในเวลาเดินหรือใช้รถเข็น

Spinal Cord Injury การได้รับบาดเจ็บกระดูกไขสันหลัง มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวและมีปัญหาที่ตามมาอีก ได้แก่ การติดเชื้อที่ท่อปัสสาวะ การติดเชื้อที่ระบบการหายใจ การฟื้นฟูสมรรถภาพต้องใช้เวลานาน แต่จำเป็นต้องทำเพื่อ ให้เด็กใช้อวัยวะที่บกพร่องได้บ้างโดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ามาช่วย เช่น รถเข็นสำหรับการเคลื่อนไหว ใช้เครื่องพิมพ์ดีด

Osteogenesis Imperfeca เป็นความผิดปกติของกระดูก กระดูกไม่สมบูรณ์และหักง่าย เด็กอาจมีลักษณะ เตี้ยแคระ และมีความผิดปกของฟันควบคู่ไปด้วย การได้ยินเป็นปัญหาของเด็กประเภทนี้ กล่าวคือการได้ยินจะเสื่อม ลง เด็กต้องได้รับการรักษาจากแพทย์

Legg – Calve – Disease ความผิดตกของขาท่อนบน เด็กที่เป็นโรคนี้มักเคลื่อนไหวไม่สะดวก โรคนี้ไม่ทราบสาเหตุ เด็กอาจมีอาการดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษาติดต่อกันเป็นเวลา 1 – 2 ปี

Limb Deficiency แขนขาด้วน อาจเป็นความบกพร่องที่มีมาตั้งแต่กำเนิด การฟื้นฟูควรให้มีการใช้แขนขาเทียมอย่างมีประสิทธิภาพ
2. ความบกพร่องทางสุขภาพ

Asthma เป็นโรคปอดอย่างหนึ่ง และพบบ่อยในเด็ก อาการที่ปรากฏชัด ได้แก่ ระบบหายใจอักเสบ ทำให้เด็กหายใจลำบาก
Eqilepsy เป็นโรคลมชัก เกิดจากเซลล์ประสาทในสมองได้รับการกระตุ้นมากเกินไป
อาจจำแนกออกได้ 2 ลักษณะ คือ
1. ชักแบบ Generalized Seizures เด็กจะหมดสติ ร่างกายทุกส่วนสั่น และเกร็ง อาจมีน้ำลายไหลออกมาทางปาก
2. ชักแบบบางส่วน (Partial Seizures) เด็กอาจหมดสติชั่วระยะเวลาอันสั้น แต่เด็กไม่ได้มีอาการชัก
Hemophilia มักเกิดกับเด็กผู้ชาย หากเด็กได้รับบาดแผลเลือดจะไหลไม่หยุดง่าย ๆ

เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านการพูดและภาษา
เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านการพูดทั้งในเรื่องการเข้าใจภาษาที่คนอื่นพูดและพูดให้คนอื่นเข้าใจ เป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งต่อการรับรู้และเรียนรู้พัฒนาทักษะทุกๆ ด้าน
ความบกพร่องทางการพูดและภาษาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มที่พัฒนาภาษาและการพูดล่าช้าหรือไม่สมวัย ได้แก่
- เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
- เด็กสมองพิการ
- เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์
- เด็กเชาว์ปัญญาต่ำ
- เด็กที่ขาดกรกระตุ้นการพัฒนาภาษาและการรพูดจากครอบครัวและสิ่งแวดล้อม
2. กลุ่มเด็กอะเฟเซีย ( aphasis )
เป็นส่วนอาการที่แสดงถึงความบกพร่องทางภาษา อันเกิดจากสมาธิสภาพของสมองส่วนที่ควบคุมภาษาทำให้มีปัญหาทางภาษาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน แบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ
2.1 อะเฟเซียชนิดมีปัญหาทางด้านการรับรู้ทางภาษาเป็นปัญหานำ
2.2 อะเฟเซียชนิดมีปัญหาทางด้านการแสดงออกทางภาษาเป็นปัญหานำ
2.3 อะเฟเซียชนิดมีปัญหาในการนึกคำพูด
2.4 อะเฟเซียชนิดมีปัญหาทางด้านการรับรู้ทางภาษาและการแสดงออกททางภาษา
การให้ความช่วยเหลือและแก้ปัญหาทางการพูด
การให้ความช่วยเหลือหรือการแก้ไขความบกพร่องทางการพูดและภาษาจะมีความแตกต่างกันไปตามสาเหตุและความรุนแรงของปัญหา หลังจากที่พบความบกพร่องแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่งเด็กไปพบผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ควรพบกับ
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทาง หู คอ จมูก
- นักแก้ไขการพูด
- นักโสตสัมผัสวิทยา
- นักการศึกษาพิเศษ
2. เด็กสมองพิการ ควรพบกับ
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางประสาทสัมผัสวิทยา
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางกายภาพบำบัด
- นักแก้ไขการพูด
- นักกายภาพบำบัด
- นักการศึกษาพิเศษ
3. เด็กออทิสติก ควรพบกับ
- จิตแพทย์เด็ก
- นักแก้ไขการพูด
- นักกายภาพบำบัด
- นักการศึกษาพิเศษ
4. เด็กเชาว์ปัญญาต่ำ ควรพบกับ
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาการเด็ก
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางกายภาพบำบัด
- นักแก้ไขการพูด
- นักกายภาพบำบัด
- นักการศึกษาพิเศษ
5. เด็กที่ขาดกรกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม ควรพบกับ
- นักแก้ไขการพูด
- นักการศึกษาพิเศษ
แนวทางและฟื้นฟูสมรรถภาพเด็กบกพร่องทางภาษาและการพูด
1. การสื่อความหมาย
1.1 การสื่อความหายโดยใช้ท่าทางหรือภาษามือ
ข้อดี
- เรียนรู้ได้ง่าย สื่อสารไดด้รวดเร็ว
- สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
- เริ่มเรียนเมื่อไหร่ก็ได้
ข้อจำกัด
- ภาษามือจะเป็นที่รู้จักเฉพาะในสังคมคนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
- การสื่อความหมายโดยใช้ภาษมือมีความจำกัดเฉพาะลักษณะของภาษามือมักเป็น code หรือสัญลักษณ์ ไม่สามารถสื่อความหมายได้ละเอียดเหมือนภาษาพูด
- ไม่มีลูกเล่นทางภาษา เช่น คำเปรียบเทียบ อุปมา – อุปมัย คำพังเพย เป็นต้น
- ผู้ที่สื่อความหมายโดยใช้ภาษามือจะมีโอกาสเลือกทางการศึกษาและประกอบอาชีพได้น้อยกว่าผู้ที่ใช้ภาษาพูด
1.2 การสื่อความหายโดยใช้การฟังหรือภาษาพูด
ข้อจำกัด
- การฝึกสอนให้เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดหัดออกเสียงพูดจะต้องเริ่มการกระทำตั้งแต่อายุน้อยๆ
- การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการฟังและการพูดจะต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก จะต้องทำการฝึก
อย่างถูกต้องและต่อเนื่อง

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกการเข้าเรียน

บันทึกครั้งที่2
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2556
-วันนี้อาจารย์สอนความหมายของเด็กพิเศษ
-แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 12 คน จับฉลากทำงานเกี่ยวกับประเภทของเด็กพิเศษแล้วนำเสนอก่อนสอบกลางภาค
เด็กที่มีความต้องการพเศษ
1.ทางการแพทย์ เรียก "เด็กพิการ"
2.ทางการศึกษา เรียก "เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างจากเด็กปกติ"
สรุปความหมาย
-เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาความสามารถไม่เท่าที่ควรจาการให้การช่วยเหลือ
-มีสาเหตุมาจากความบกพร่องทางด้านร่างกาย  สติปัญญา และอารมณ์
-จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัด ฟื้นฟู
-จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละคน
ประเภทของเด็กพิเศษแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
1.เด็กที่มีลักษณะความสามรถพิเศษสูง มีความสามรถทางสติปัญญาเรียกโดยทั่วไปว่า"เด็กปัญญาเลิส"
2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่องซึ่งแบ่งออกเป็น 9 ประเภท
   2.1เด็กบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกรณ์เฉลี่เมื่อเทียบเด็กในระดับเดียวกัน มีอยู่ 2 กลุ่มคือ
          เด็กเรียนรู้ช้า
          เด็กปัญญาอ่อน
***หาเพิ่ม
   เด็กเรียนช้า หมายถึง เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ จัดเป็นพวกขาดทักษะในการเรียนรู้ หรือมีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย เด็กเหล่านี้จะมีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
   เด็กปัญญาอ่อน หมายถึง เด็กที่มีภาวะพัฒนาการของจิตใจหยุดชะงัก หรือเจริญไม่เต็มที่ ซึ่งแสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่า มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย มีพัฒนาการทางกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย มีความสามารถจากัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ)
  2.2เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท
     เด็กหูตึง หมายถึง ผู้ที่สูญเสียการได้ยินถึงขนาดที่ทาให้มีความยากลาบากจนไม่สามารถเข้าใจคาพูด และการสนทนา แต่ไม่ถึงกับหมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยินด้วยหูเพียงอย่างเดียว โดยไม่มี หรือมีเครื่องช่วยฟัง
       -หูตึงระดับน้อย 20-40 dB เสียงกระซิบ
       -หูตึงปานกลาง 41-55 dB เสียงพูดคุยในระดับปกติ
       -หูตึงระดับมาก 56-70 dB
       -หูตึงแรง71-90 dB เสียงเครื่องบิน
      เด็กหูหนวก หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทาให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยินด้วยหูเพียงอย่างเดียว โดยไม่มี หรือมีเครื่องช่วยฟังจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ ถ้าวัดระดับการได้ยินแล้วจะมีการได้ยินตั้งแต่ 91 เดซิเบล (dB)
2.3เด็กที่บกพร่องทางการมองเห็น หมายถึง ผู้ที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง และมีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง โดยมีความสามารถในการเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ หลังจากที่ได้รับการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์แล้ว หรือมีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา เด็กบกพร่องทางการเห็นจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
      เด็กตาบอด หมายถึง เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรืออาจมองเห็นบ้างไม่มากนัก ไม่สามารถใช้สายตา หรือไม่มีการใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ในการเรียนการสอน หรือการทากิจกรรมได้แต่จะต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นแทนในการเรียนรู้ และหากมีการทดสอบสายตาเด็กประเภทนี้จะพบว่า มีสายตาข้างดีสามารถมองเห็นได้ในระยะ 20/200 หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดจะแคบกว่า 5 องศา
      เด็กตาบอดไม่สนิท หรือบอดบางส่วน สายตาเลือนลาง หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ เมื่อทดสอบสายตาเด็กประเภทนี้จะมีสายตาข้างดีสามารถมองเห็นได้ในระยะ 20/60 หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดจะกว้างสูงสุดจะกว้างไม่เกิน 30 องศา
 

บันทึกการเข้าเรียน

บันทีกครั้งที่ 1
วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2556
-อาจารย์แจก(Course Syllabus)
-อารย์อธิบายและตกลงเกี่ยวกับเกรณ์การให้คะแนนดังนี้
           จิตพิสัย  10 คะแนน
           งานเดี่ยว 10 คะแนน
           งานกลุ่ม  20 คะแนน
           การบันทึกอนุทิน 20 คะแนน
           ทดสอบระหว่างภาค 15 คะแนน
           สอบปลายภาค 15 คะแนน
-งานใหญ่ที่ต้องส่งคือ
           ประเภทของเด็กพิเศษ(งานกลุ่ม)
           งานวิจัยที่เกี่ยวกับเด็กพิเศษ(งานเดี่ยว)
-อาจาร์ยให้นักศึกษาทำMind Mapping เกี่ยวกับเด็กพิเศษที่นักศึกษารู้จัก
-จากนั้นให้นักศึกษา2คนออกไปสรุปหน้าชั้นเรียน



เพิ่มเติม
เด็กพิเศษ


        เมื่อพูดถึง “เด็กพิเศษ” (Special Child) หลายคนก็มักจะนึกถึงเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือมีพัฒนาการบกพร่อง แต่จริงๆ แล้วคำว่าเด็กพิเศษนั้นครอบคลุมไปมากกว่านั้นค่ะ
“เด็กพิเศษ” (Special Child) มาจากคำเต็มๆ ว่า “เด็กที่มีความต้องการพิเศษ” (Child with Special Needs) หมายถึง  เด็กกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือเป็นพิเศษมากกว่าเด็กทั่วๆ ไป ทั้งในด้าน การใช้ชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ และการเข้าสังคม ซึ่ง นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา (จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น) ได้แบ่งเด็กพิเศษออกเป็น3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
1) เด็กที่มีความสามารถพิเศษ: เนื่องจากคนในสังคมมักคิดว่าเด็กเหล่านี้เป็นเด็กเก่ง เด็กกลุ่มนี้จึงมักไม่ค่อยได้รับการดูแลและช่วยเหลืออย่างจริงจัง ในทางตรงกันข้าม หลายๆ ครอบครัวกลับไปเพิ่มความกดดันให้กับเด็กมากยิ่งขึ้น เพราะมีความคาดหวังมากกว่าเด็กปกติทั่วไป นอกจากนี้วิธีการเรียนรู้ในแบบปกติทั่วไปก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของเด็กกลุ่มนี้ได้ มักทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่ายและอาจทำให้ไม่สสามารถแสดงความสามารถพิเศษที่มีอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพ เด็กที่มีความสามารถพิเศษสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้
• เด็กที่มีระดับสติปัญญาสูง คือ กลุ่มเด็กที่มีระดับสติปัญญา (IQ) ตั้งแต่ 130 ขึ้นไป
• เด็กที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้าน เด็กเหล่านี้อาจไม่ใช่เด็กที่มีระดับสติปัญญาสูง แต่จะมีความสามารถพิเศษเฉพาะด้าน ที่โดดเด่นกว่าคนอื่นในวัยเดียวกัน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การใช้ภาษา ศิลปะดนตรี กีฬา การแสดง ฯลฯ
• เด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์
2) เด็กที่มีความบกพร่อง: ในต่างประเทศได้มีการแบ่งแยกย่อยไปหลายแบบ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้แบ่งออกเป็น 9 กลุ่มย่อย ดังนี้
• เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
• เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
• เด็กที่มีความบกพร่องทางการสื่อสาร
• เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว
• เด็กที่มีความบกพร่องทางอารมณ์และพฤติกรรม
• เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (Intellectual Disabilities)
• เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities)
• เด็กออทิสติก (รวมถึงความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้านอื่นๆ - PDDs)
• เด็กที่มีความพิการซ้อน
3) เด็กยากจนและด้อยโอกาส: คือเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจน ขาดแคลนปัจจัยที่จำเป็นในการเจริญเติบโตและการเรียนรู้ของเด็ก และยังรวมไปถึงกลุ่มเด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษาจากสาเหตุอื่นๆ อีกด้วย เช่น เด็กเร่ร่อน เด็กถูกใช้แรงงาน เด็กต่างด้าว ฯลฯ
       ทั้งนี้ เด็กในกลุ่มต่างๆที่กล่าวถึงนี้ ควรได้รับการดูแลเพิ่มเติมด้วยวิธีการพิเศษซึ่งต่างไปจากวิธีการตามปกติ เพื่อให้พวกเค้าสามารถพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียม รวมทั้งได้รับการยอมรับและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขค่ะ